เลขเด็ดหวย บ้านผี เสริมดวงชะตา แก้ดวงตก
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558
ปิดเทอม 6 เดือน กับการค้นหาตัวเองผ่านการเดินทางท่องเที่ยว วันนี้เราได้หยิบเอาอีกหนึ่งประสบการณ์ของการเดินทางท่องเที่ยว ที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถคนพบว่าจริง ๆ แล้วเราได้อะไรจากการท่องเที่ยวมากมาย ผ่านการจดบันทึก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1452209 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก wasthereonce
เบื่อก็เที่ยว...เหงาก็เที่ยว...อกหักก็เที่ยว...มีความสุขหรือมีความรักก็เที่ยว ก็แหม...การออกเดินทางท่องเที่ยวสามารถไปได้ตลอดทั้งปี แต่ละสถานที่ก็มีเรื่องราวให้พบเจอแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ เมื่อมีโอกาสก็อยากออกไปท่องเที่ยวพักกายให้สบายใจกันทั้งนั้น (จริงไหม) และวันนี้เราได้หยิบเอาอีกหนึ่งประสบการณ์ของการเดินทางท่องเที่ยว ที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถคนพบว่าจริง ๆ แล้วเองได้อะไรจากการท่องเที่ยวมากมาย จากบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 1452209 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เผื่อเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรค่ะ ^__^
ปิดเทอมตั้งหกเดือนจะทำอะไรดี ? คำถามที่ผมถูกถามบ่อยที่สุดในช่วงเกือบ ๆ เจ็ดเดือนก่อน เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็น่าจะเคยถูกถามและอาจจะเป็นผู้ถามเองมาบ้าง คำตอบที่ว่าคืออะไรบ้างครับ ? จะผอม จะสวย จะเรียนพิเศษ จะทำงานพาร์ทไทม์ จะไปเที่ยว จะฝึกงาน บลา ๆๆๆ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกถามและเป็นคนถามคำถามนี้กับเพื่อนหลาย ๆ คน ถามบ่อยจนกระทั่งเพื่อนผมบอกว่า "ถามแต่คนอื่น แล้วเมิงอ่ะ…ปิดเทอมตั้งหกเดือนจะทำอะไร ?" อืมมมมมมม ไม่รู้อะ…ใช้ชีวิตไปวัน ๆ คงนิยามตัวตนผมในตอนนั้นได้ดีที่สุด ตื่นเช้า ไปเรียน กลับบ้าน เล่นเกม ดูหนัง นอน หนึ่งวันจบแล้ว…
"เรียนเก่ง ๆ โตไปจะได้สบาย" ประโยคที่ผู้ใหญ่รอบข้างพร่ำสอน ผมเชื่อครับว่ามันคือความจริง แต่จะเรียนเก่งไปเพื่ออะไรในเมื่อเป้าหมายก็ยังไม่มี ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรก็ยังไม่รู้เลย จะทำอะไรก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะใส่ไปให้เต็มร้อย...เคว้ง…
เพราะเคว้งนี่แหละครับ ทำให้ผมตัดสินใจออกเดินทาง สิ่งเดียวที่คิดตอนนั้น คือ ทำยังไงก็ได้ให้ปิดเทอมหกเดือนข้างหน้านี้เจ๋งที่สุด คุ้มที่สุด จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือผมอยากแชร์สิ่งที่ได้ไปเจอมาตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนจนทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น เรื่องราวที่ผมนำมาแชร์มันก็คือเรื่องทั่ว ๆ ไปที่พวกเราต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วทั้งนั้น มันไม่ได้พิเศษอะไรหรอกครับ แต่เพราะมันธรรมดานี่แหละ ที่ทำให้บางครั้งผมก็ลืมนึกไปบ้าง หลงลืมไปบ้าง เพิกเฉยกับมันไปบ้าง ลองอ่านดูนะครับ
ป.ล. ผมใช้เงินจากการทำงานพาร์ทไทม์หนึ่งปีเป็นทุน และโชคดีที่มีครอบครัวสนับสนุนด้วยครับ
ป.ล. 2 ผมเพิ่งจะสร้างเพจของตัวเอง เป็นเพจท่องเที่ยวที่ชอบแชร์เรื่องราวระหว่างทางเดิน ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์หลงทางในป่า เฮฮาชวนคุณป้าข้างทางคุย นั่งหน้ามุ่ยเพราะโดนคนจีนต้ม แผนจะล่มเพราะเกือบตกเครื่องบิน แวะมาจอยกันได้นะครับ เฟซบุ๊ก wasthereonce จุ๊บ ๆ
01 เดือนเมษายน
ทำไมหลาย ๆ คนถึงเอาแต่ยี้ "จีน" น่าคิดแฮะ ผมตัดสินใจไปจีนด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง กอปรกับหนึ่งในนั้น คือ อยากลองของ ! หลังจากเซอร์เวย์จากคนรอบข้าง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อย่าไป..เชื่อตรู" ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไหน ๆ จะเผชิญโลกกว้างทั้งทีจะมาใช้ชีวิตง่าย ๆ ไม่ได้ มันต้องขอแบบจัดหนัก เอาวะ...มาลองกันสักตั้ง !
23 วันในจีนที่เป็นช่วงเวลาที่รวบรวมทุกความรู้สึกเท่าที่ผมจะรู้สึกได้ สุข สนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ หวาดผวา เฉย ๆ ธรรมดา เบื่อ เซ็ง ไปจนถึงขั้นเฟลที่สุด ผมได้รับมิตรภาพน่ารัก ๆ จากชาวจีนตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ส่วนวันถัดมาก็โดนต้มจนเสียหมา (เพื่อนสนิทเป็นคนนิยามให้) เล่นเอาเซไปหลายวัน
...ไม่เห็นจะแย่อย่างที่หลาย ๆ คนพูดเลย มันก็พอจะจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แฟร์เท่าไรที่จะไปเหมารวมเขาว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้...คนจีนสกปรก...คนจีนไม่มีมารยาท...คนจีนมักง่าย ถามว่าได้เจอกับตัวเองจัง ๆ ไหม ตอบเลยว่าเจอเยอะมากกกกกกกกกกกกก พีคสุดของประสบการณ์เขย่าขวัญ คือ การเดินเข้าห้องน้ำไปเจออาแปะกำลังถ่ายหนักรัวคอมโบตดเป็นจังหวะสามช่า (เกือบจะเต้นตามล่ะ อันที่จริงมันจะไม่พีคติดตาขนาดนั้นถ้าอาแปะปิดประตูห้องน้ำสักนิดหนึ่ง)
มีเพื่อนเคยถามว่า "ไปจีนได้อะไรกลับมาบ้าง ?" ถ้าตอบว่าได้รับประสบการณ์จ้า มันจะดูเกร่อ ไม่ชิค ไม่เท่ สำหรับผม ถ้าอย่างนั้นขอข้ามนะ เอาเป็นว่าได้รู้ว่าจีนที่หลาย ๆ คนยี้มีดีกว่าที่คิดแล้วกัน แถมมีดีเยอะแยะมากด้วยนะ แต่ดันโดนเรื่องไม่ดีที่มีเยอะพอกันกลบซะมิดเชียว จริง ๆ ก็พอกันทั้งไทยและจีนก็มีดีและไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ เท่าที่เจอมาภาพที่คนจีนบางคนมองเราก็เป็นไปในแง่เดียวกับที่เรามองเขาส่วนหนึ่ง
เอาง่าย ๆ แล้วกัน พอคนจีนรู้ว่าผมเป็นคนไทย ก็เฮโลรีบชื่นชมประเพณีวัฒนธรรมไทยเรากันยกใหญ่ นี่ยู ๆ การแสดงประจำชาติยูนี่อะเมซิ่งมากเลยนะ ไอชอบมาก ๆ (สีหน้าฟินสูงสุด)…(ยิ้มกว้างมากพร้อมยืดอก) จริงเหรอ ยูชอบอันไหนล่ะ บ้านไอมีเยอะแยะเลยนะที่เจ๋ง ๆ อ๋อนี่ไง ๆๆ "ปิงปองโชว์"
02 เดือนกรกฎาคม
พระเอกหนึ่งในใจคุณยิ่งกว่าเบอร์ดี้ของผมในทริปนี้ คือ พี่ม้งสุดแนว พี่ม้งชื่อ "ชัยพร" พี่ม้งเป็นคนพูดน้อย นอกจากขับรถ (บรรทุกผมขึ้นภูทับเบิก) พี่แกก็ยิ้มลูกเดียว พี่ม้งเรียนจบคอมฯ ธุรกิจ ป.ตรี จากบางกอก มีไร่กะหล่ำปลีที่แกว่าเล็ก (แต่เราว่าไม่) อยู่บนภู พี่ม้งใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ผมติดรถหรอก) พี่ม้งแต่งงานแล้วและมีลูกวัยกำลังซนอยู่หนึ่งคน
(แต่นี่ไม่ใช่บ้านพี่ม้ง เมียพี่ม้งนะ)
ผมชอบคุยกับคนระหว่างการเดินทาง คนระหว่างทางมักจะมีสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้น ประหลาดใจ และฉุกคิดอะไรใหม่ ๆ ได้เสมอ พี่ม้งก็เหมือนกัน...ระหว่างทางขึ้นภูทับเบิกผมชวนพี่ม้งคุยเป็นต่อยหอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในทำนองที่ว่าทำไมถึงทำอาชีพปลูกผักขาย ? ทำไมถึงไม่ชอบกรุงเทพฯ ? ถ้าไม่สบายบนภูจะทำอย่างไร ? น้ำมันหมดจะทำอย่างไร บนภูมีปั๊มไหม ? เวลาเรียนหนังสือต้องไปที่ไหน ? กะหล่ำปลีนี่ขายได้แพงที่สุดกิโลกรัมละเท่าไร ? (170 บาท) ช่วงไหนราคากะหล่ำปลีจะตก ? โดนหักราคาจากพ่อค้าคนกลางเยอะไหม ?...ก็ไม่รู้จะสงสัยอะไรกันนักกันหนา แต่พี่ม้งก็ยิ้มไปตอบไป
ผมถามไปถามมาจนมาถึงคำถามที่ว่า "ภูทับเบิกเจริญเร็วขนาดนี้ไม่กลัวเหรอครับ ?" พี่ม้งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบว่า…มันเจริญก็ดีนะ แต่ก็กลัวเหมือนกัน...กลัวชาวม้งคนอื่น ๆ จะปรับตัวไม่ทัน
ความเจริญบางครั้งก็น่ากลัว น่ากลัว...เกินไป แต่จริง ๆ แล้วผมว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ สิ่งที่มาพร้อมกับความเจริญต่างหาก...คน
คนนี่แหละที่น่ากลัวที่สุด...โดยเฉพาะพี่ม้ง พี่ครับช้าหน่อยพี่ ซิ่งแบบนี้ผมเสียวววววววววววววววว
03 ขอคั่นด้วยการโชว์ทักษะถ่ายรูปยังไงให้ชิค ๆ คูล ๆ
ขออนุญาตพี่ม้งวิ่งขึ้นไปถ่าย อยากจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุ่งกะหล่ำปลีเขียวขจี มีสายหมอกลอยระเรื่อเกือบสัมผัสผิวดิน โพสท่าเอียงหน้าทำมุม 45 องศา กับตากล้องสาวสวยน่ารักคอยกดชัตเตอร์อย่างแผ่วเบา หัวเราะยิ้มแย้มแก้มชมพูระเรื่อ
ในความเป็นจริง...
ป.ล.1 ผมใส่กางเกงแข่งวิ่งครับ พอดีชอบวิ่งมาราธอนเลยอยากโหดไปวิ่งขึ้นเขาดูบ้าง คอนักวิ่งรู้กันเนอะ
ป.ล. 2 จริง ๆ รูปนี้กำลังจะหันหน้ามายิ้มเข้ากล้องครับ แต่ภาพนั้นเบลอ 555555
04 เดือนสิงหาคม
ไม่รู้ทำไมตอนเด็กถึงอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ กันนัก พอโตจะเป็นผู้ใหญ่กับเขาเข้ามาจริง ๆ ดันอ้อนวอนขอผัดผ่อนไปเรื่อย (แหม...ใช่ว่าจะทำได้) ตอนเด็ก ๆ "โตขึ้นอยากเป็นอะไร ?" เป็นหนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด สำหรับผมเหรอครับ...เยอะแยะเลย อยากเป็นปลาจะได้ว่ายน้ำเร็ว ๆ อยากเป็นนกจะบินไปไกล ๆ อยากเป็นเสือจะได้เท่ ๆ อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไม่ต้องกังวล ไม่มีความกดดัน ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องกังวล แบกรับความกดดันจากคนรอบข้าง แบกรับความคาดหวัง พร้อมทั้งเงื่อนไขมากมาย
สนุกแบบเด็กเป็นสิ่งที่แทบจะลืมไปแล้วว่าเป็นอย่างไร (นี่ขนาดเพิ่งจะ 20 นะเนี่ย) นานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกวันนี้นี่มีอะไรนักหนา ถึงขนาดยอมปล่อยให้ตัวเองลืมความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ไปได้นานขนาดนั้น น่าเสียดายจัง...
บทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อน
ผม : เฮ้ย เพิ่งไปเที่ยวสตูลมา อย่างมัน โคตรสนุกแบบเด็กอ่ะ
เพื่อน : ยังไงวะสนุกแบบเด็ก
ผม : สนุกที่เป็นสนุกจริง ๆ ไงวะ แบบอยากเป็นหมูก็ได้เป็น อยากเป็นหมาก็ได้เป็น อยากเป็นไก่ก็ได้เป็นงี้
เพื่อน : "....."
ผม : ทำไมวะ ยังงงเหรอ ?
เพื่อน : ไอ S-U-S เป็นคนอยู่ดี ๆ ไม่ชอบนะ
05 เดือนสิงหาคม
"โหพี่ไม่รู้เลยว่าไทยก็มีที่แบบนี้ !" ผมกำลังนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบนรถกระบะคันหนึ่ง เจอคนไทยใจดีอีกแล้ว พี่เขารู้ว่าผมมาตัวคนเดียวเลยบอกให้ติดรถจากอำเภอบ่อเกลือที่อยู่บนเขา ผ่านอำเภอสันติสุข เพื่อไปสู่ตัวเมืองน่าน (ตอนแรกจะนั่งรถจากอำเภอบ่อเกลือ ผ่านอำเภอปัวแล้วไปอำเภอเมืองน่าน เส้นทางอ้อมกว่า)
นางเอกของเราในทริปนี้ คือ พี่นาย (ผู้หญิงนะ)...ทำไมถึงมาทำอาชีพนักพัฒนาที่นี่ล่ะครับ ?...ทำไมถึงทำอาชีพนี้ล่ะครับ ?...เป็นคำถามที่ผมถามบ่อยที่สุดในรอบเกือบ ๆ สามปีที่ผ่านมา ผมถามมาหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะคนขับแท็กซี่ ช่างตัดผม คุณครู เกษตรกร และอีกมากมาย "แล้วพี่ทำงานอย่างนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอครับ?" เป็นคำถามที่มักจะตามมาเป็นสเต็ปที่สอง ที่ชอบถามแบบนี้เพราะผมกลัวว่าเมื่อถึงเวลาที่ผมเข้าสู่ช่วงชีวิตของวัยทำงานจริง ๆ ผมจะหลงทาง ผมเป็นคนเบื่ออะไรง่าย ๆ เลยชอบที่จะหาเหตุผลของการทำงานของผู้ใหญ่ อะไรที่ทำให้เขาไม่เบื่อในสิ่งที่ต้องทำอยู่ทุก ๆ วัน
โอ๊ยถ้าตรูมีเงิน คงไม่มาตัดผมหลังขดหลังแข็งอย่างนี้หรอก...เออก็จริง คำตอบที่ได้รับจากช่างตัดผมสุดจะแนว จริง ๆ คำตอบส่วนใหญ่จากที่ผมถามมานั่นคือเพราะ "เงิน" ไม่มีเงินก็เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง เป็นประโยคที่แรงแต่ก็จริง ถ้าพูดในแบบหยาบ ๆ ผิวเผินอ่ะนะ สำหรับพี่นายเขาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับมาทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านเกิด "สบายใจ" คือคำตอบเดียว หลังจากถามต่อว่าทำไมถึงลาออกล่ะครับ ? สบายใจเป็นคำตอบเดียวที่ลบล้างข้อแม้อื่น ๆ ที่เป็นปัญหาสารพัดสารเพที่ติดค้างทำให้เราลังเล เพราะสบายใจสินะ...แล้วสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราสบายใจกันจริง ๆ หรือเปล่านะ
06 เดือนสิงหาคม
การนัดรวมเพื่อน ม.ปลาย นี่ยากเย็นแสนเข็ญจริง ๆ นัดกันซะดิบดีแต่สุดท้ายมักลงเอยด้วย "ไว้คราวหน้าแล้วกัน" เพราะฉะนั้น "มากันแค่นี้เองหรอ" มักจะเป็นประโยคที่จะมีใครสักคนถามขึ้นกลางวงทุกครั้ง คงจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นทำให้ชายหาดเป็นของเรา (ชอบจริง ๆ อย่างกับจองไว้เป็นหาดส่วนตัว) ทะเลแบบเงียบ ๆ นี่แหละคลาสสิกสุด
ถ้าเป็นสมัยเพิ่งจะจบ ม.ปลาย แรก ๆ การนัดเจอกันมักจะมีคำถามที่ว่า "เนื่องในโอกาสอะไร" เสมอและการนัดกันจะต้องมีกิจกรรมที่ดูเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่อย่างนั้นทุกคนจะเซย์โนได้ แต่ทุกวันนี้การนัดเจอกันแทบไม่มีใครถามแล้วว่าเพื่ออะไร…ตรูว่าง เมิงว่าง Deal !
กิจกรรมที่เคยจะต้องเป็นอะไรที่คัดสรรมาอย่างดี ต้องวิเศษวิโสโก้เก๋เท่สาวกรี๊ด ก็เริ่มลดสเปคลงเรื่อย ๆ อย่างเช่นวันนี้…ไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษนอกจากการนั่งคุยข้างทะเล ก็แค่คุยแต่โคตรรู้สึกดีเลย
แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้นั่งตากแดดตอนดวงอาทิตย์อยู่กลางหัวเนี่ย...จะมานั่งกลางแดดกันทำไม
07 เดือนสิงหาคม (อีกแล้ว)
คุณป้าสุนีย์และคุณลุงฟิลลิป ผมรู้จักทั้งสองท่านจากการไปเที่ยวจังหวัดสตูล คุณป้าสุนีย์คือเจ้าของรีสอร์ทเล็ก ๆ (มีบ้านสามหลัง) ที่เรามานอนในคืนนั้น ส่วนคุณลุงฟิลลิปคือแขกที่มาพร้อมภรรยาก่อนผมหนึ่งคืน ทั้งรีสอร์ทมีพนักงานทั้งหมดแค่สองคน คือ คุณป้าสุนีย์กับสามี ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งคู่ ทั้งรีสอร์ทมีแขกเข้าพักแค่สองคน คือ คุณลุงฟิลลิปและภรรยา ซึ่งฟังภาษาไทยไม่ออกทั้งคู่
"อยากกินหมูก็วาดหมูลงในกระดาษ อยากพายเรือก็วาดเรือลงบนกระดาษ ไม่ยากหรอก มันก็สนุกดี" คุณลุงฟิลลิปบอกผมยิ้ม ๆ ส่วนคุณป้าสุนีย์เหรอ OK/Thank you แกว่าแกพูดอยู่แค่นี้ ที่เหลือยิ้มลูกเดียว
รีสอร์ทแห่งนี้จริง ๆ เป็นแค่บ้านพัก เราอาจจะเรียกว่าโฮมสเตย์น่าจะพอเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ที่นี่เป็นที่พักเล็ก ๆ เป็นกิจการในครอบครัว คุณลุงกับคุณป้าดูจะดีใจมากที่มีแขกมาพัก บอกว่าจะได้หายเหงาเสียบ้าง...(ลูกสาวของคุณลุงคุณป้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ครับ) อาหารการกินคุณป้าก็เป็นคนเข้าครัวเอง ส่วนคุณลุงจะคอยอำนวยความสะดวกอื่น ๆ จำพวกพายเรือนำล่องแก่ง ขับรถขนเรือ เป็นต้น
รูปภาพใบนี้คุณลุงฟิลลิปกำลังสอนคุณป้าสุนีย์ใช้กล้องดิจิตอลเพื่อที่จะถ่ายภาพรวมให้พวกเราก่อนจากลากัน ดวงตา คำพูด และการกระทำของคุณป้าสุนีย์และสามีตลอดสองวันที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่บรรยายอย่างไรก็ไม่จบ (สำนวนเริ่มจะนิยาย) ทุกการกระทำมันออกมาโดยปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ มันมีแต่ความอิ่มใจที่จะให้ จะดูแลผม อยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะที่นี่สวยที่สุด ดีที่สุด สบายที่สุด แต่เพราะที่นี่มีป้าสุนีย์…ฝีมืออาหารคุณป้าสุนีย์นี่เด็ดสะระตี่ ขอ Recommend
08 จะเปิดเทอมแล้ว...
ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี
ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีในด้านไหน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ หรือไม่
คิดว่าบางคนที่มีโอกาสได้อ่านกระทู้นี้ก็อาจจะมีความคิดแบบนี้แวบเข้ามาในใจบ้างบางครั้ง ถามว่าหลังจากผมกลับมาจากการเดินทาง (เที่ยว) ผมค้นพบตัวเองเลยใช่ไหม เปล่าครับ ผมก็ยังกลับมาเคว้งเหมือนเดิม
อ้าว ! แต่ครับแต่ แต่หลังจากนั้นเมื่อเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของการไปแบ็คแพ็กจีนผ่านกระทู้หนึ่งในพันทิป ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากสำหรับผม (ขึ้นกระทู้แนะนำในห้องไกลบ้านและบลูฯ ด้วยนะ สุดจะซึ้ง)
เฮ้ย...มันใช่ว่ะ !
เฮ้ย...ชอบความรู้สึกแบบนี้
เฮ้ย...อยากเล่า อยากแชร์ เรื่องระหว่างทางที่ไปเจอมา
นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมพึ่งค้นพบจากการเดินทางว่าตัวเองอยากจะทำอะไรต่อไป มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างในหนัง มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมก็ยังเป็นผมอยู่เหมือนเดิม ผมก็แค่รู้ว่าตัวเองชอบจะทำอะไร อยากที่จะทำอะไรต่อไป...โคตรดีใจครับ เพราะอย่างนี้นี่เองเขาถึงพูดกันว่า “คนที่รู้ใจตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก"
การเดินทางให้อะไรเยอะแยะมากจริง ๆ ครับ หากกำลังสับสน วุ่นวายใจ ลองยอมให้ตัวเองออกเดินทางดูบ้าง ผมว่ามันช่วยได้แน่ ๆ ไม่มากก็น้อยครับ
จากการแชร์ไปเที่ยวจีนครั้งแรกทั้งสองกระทู้ ทำให้ผมมีเพจชื่อ was there once ขึ้นมาได้ เพราะแรงเชียร์สนับสนุนจากเพื่อน ๆ รอบข้างและเพื่อน ๆ ในพันทิปนี่แหละครับ ขอบคุณมากนะครับ
ขอบคุณและราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน
++++++++++++++++++
ขอฝากกระทู้เก่าด้วยนะครับ อิอิ
30 ข้อ แปลก ๆ จากการแบกเป้เที่ยว'จีน' (ที่หลาย ๆ คนยี้)
ไป "จีน" แล้วไม่โดนหลอก เขาบอกว่าไปไม่ถึง (จริง ๆ นะ)
ผมใช้มือถือ Sumsung S4 ถ่ายครับ (รูปวิว) ส่วนรูปที่ผมอยู่ในรูปจะเป็น Canon 550D+18-135 ครับ
ป.ล. กว่าผมจะหาเงินไปได้ก็ต้องเก็บเงินจากการทำพาร์ทไทม์หนึ่งปีครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้มาง่าย ๆ เหมือนที่คนอื่นเห็นหรอกครับ อย่าโทษโชคชะตา พยายามทำให้ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องไปเทียบกับใคร จะสุขกว่านะ หากได้อ่านกระทู้ก่อน (เที่ยวจีน) จะเห็นว่าผมใช้เงินประหยัดมาก ส่วนที่เที่ยวในไทยผมโบกรถเอาครับ ทุกทริปที่ไปบังคับตัวเองไว้ว่าห้ามเกิน 2,000 บาท ซึ่งทุกทริปผมใช้ไป 1,900 บาทครับ เน้นกินลมชมวิว 5555 (ยกเว้นสตูลที่ไปกับครอบครัว)
สุดท้ายนะครับ ชีวิตทุกคนมีหลายด้าน พี่ ๆ เพื่อน ๆ เห็นผมมาโพสต์ตรงนี้อาจจะคิดว่าชีวิตน่าอิจฉา แต่ทุกคนครับกระทู้นี้มันแค่เสี้ยวเดียวของชีวิตผมเองนะครับ เวลาสุขเราแค่อยากแชร์ เวลาเศร้า เวลาทุกข์ไม่มีใครอยากจะป่าวประกาศหรอกครับ เราแค่อยากแชร์สิ่งดี ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นไม่มากก็น้อยเท่านั้นเอง คิดว่ากระทู้นี้น่าจะมีวัยอายุเท่าผมหลายคนมาเจอแค่อยากบอกว่า ขอบใจมาก...ขอบใจที่เข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อจริง ๆ นะ
แนะนำที่ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พร้อมคูปองส่วนลดโรงแรม เพียบ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น